Siripohn's Insights (Blog)
มุมมองใหม่ๆ พร้อมด้วยโอกาสใหม่ๆ จาก PaMéla\ Senior marketer จาก Ohio/USA
เมื่อบ่ายของวันเสาร์ที่ผ่านมา studio Chiangdao Blue ได้ต้อนรับ PaMéla เธอมาเชียงดาวเป็นครั้งแรก และการย้อมผ้าด้วยครามธรรมชาติก็เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเธอเช่นกัน
เธอดูเป็นกันเองมาก ยิ้มแย้มเหมือนคนไทย ทำให้การพูดคุยตั้งแต่แรกของเราเป็นไปอย่างสบายๆและเป็นกันเอง เราเริ่ม workshops ด้วย concept ประจำของเราคือ From seed to dye เราคุยเรื่องเมล็ดของต้นครามชนิดต่างๆ การสกัดสีครามจากใบสด การก่อหม้อคราม(making indigo dye pot) แล้วจึงมาทำลวดลายผ้าก่อนย้อมคราม แม้จะเป็นการย้อมผ้าครามครั้งแรก แต่ PaMéla สนใจและตั้งใจมาก เธอพยายามลองทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เมื่อเธอหาลวดลายผ้าที่ชอบ และเราแนะนำพร้อมกับแสดงวิธีทำลวดลายนั้นๆ เธอก็ตั้งใจทำ และย้อมผ้าพันคอผืนใหญ่ได้อย่างสวยงามและลงตัว หลังจากจบ workshops เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันหลายเรื่อง ทัศนคติการใช้ชีวิต ทำไมจึงสนใจเรื่องย้อมคราม PaMéla เป็นนักการตลาดที่มีวิสัยทัศน์มาก ตอนนี้เธอสนใจและทำกิจกรรมเรื่องการสอนทั้งภาษาอังกฤษ และเรื่องการตลาดที่เธอถนัดให้แก่นักศึกษาไทยที่เชียงใหม่
วันนี้หลังจากPaMéla ได้มีประสบการณ์ย้อมครามกับเราเพียง 3 ชั่วโมง เธอก็เริ่มมีความคิดว่าเรื่องราวของครามธรรมชาตินี้ ก็น่าจะสามารถนำไปต่อยอดออกแบบในเชิงการเรียนการสอนทั้งด้านภาษาอังกฤษและการตลาดได้ และเราทั้งสองก็ได้มีโอกาสพูดคุยกันเพิ่มเติมในวันรุ่งขึ้นก่อนที่เธอเดินทางกลับเชียงใหม่ เธอถามว่าฉันสนใจนำเสนอเรื่องการย้อมครามในแง่มุมของการเรียนรู้ไหม
ซึ่งฉันก็ตอบในทันทีว่าฉันสนใจ เพราะตัวเองก็มีมุมมองเรื่องของการย้อมครามที่นอกเหนือจากในประเด็นของผ้าหรือเสื้อผ้า ฉันเชื่อว่าเรื่องราวของครามธรรมชาติใน concept “from seed to dye” นี้ น่าจะเปิดโอกาสใหม่ๆให้แก่ผู้บริโภคได้
ถ้าศึกษาคุณสมบัติของครามธรรมชาติอย่างละเอียดจะซาบซึ้งในคุณสมบัติทางยาสมุนไพรของใบครามที่ คนไทยโบราณเคยใช้เป็นยาลดไข้ แก้พิษแมลงต่อย ในขณะที่คนญี่ปุ่นก็ใช้ผ้าย้อมครามทำเป็นชุดทำงาน (work wear) ของทั้งเกษตรกรและช่างฝีมือ เพราะรู้ว่าครามธรรมชาติมีคุณสมบัติที่ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ ในสมัยก่อนคนญี่ปุ่นยังนิยมใช้ผ้าย้อมครามธรรมชาติสีน้ำเงินเข้ม เพื่อห่อตัวเด็กแรกเกิด คุณค่าของครามธรรมชาติที่เป็นความรู้ในแง่ของภูมิปัญญาโบราณ ผ่านการปฎิบัติจริงมาในอดีตอย่างยาวนาน เป็นคุณค่าที่ควรนำกลับมาใช้ใหม่แม้จะเป็นในยุคดิจิตัลอย่างนี้ บางครั้งการย้อนกลับมาใช้ชีวิตในรูปแบบ back to origin ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจ เกิดความอบอุ่นในใจ และตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างตัวเรากับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยให้เรารู้สึกผูกพันและอยากดูแลโลกและสิ่งแวดล้อมให้สวยงามและยั่งยืนตลอดไป
ขอบคุณ PaMéla มาก ที่ช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ ช่วยให้ฉันได้เห็นความเป็นไปได้และศักยภาพใหม่ๆ ในเรื่องราวของครามธรรมชาติที่ฉันสัมผัสอยู่ทุกวัน
Deep indigo blue journey กับสาวสวยจากประเทศโคลัมเบียอเมริกาใต้ @julicanita
เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา มีข้อความส่งมาถึงฉันผ่านทางinstragram
เป็นข้อความที่บอกถึงความต้องการของผู้ส่งอย่างชัดเจนว่า สนใจอะไร อยากเรียนรู้อะไรบ้างในเรื่องของการผ้าด้วยสีจากธรรมชาติ
เมื่ออ่านข้อความนั้น ฉันรู้สึกได้ถึงความกระตือรือล้น อยากเรียนรู้ของผู้ส่งข้อความ เราทั้งสองจึงโต้ตอบข้อความกันอีกเพียงไม่กี่ครั้ง หลังจากนั้นไม่กี่วัน Juli ก็เดินทางมาหาฉันที่เชียงดาว โดยรถบัสประจำทาง เธอมาพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระหลายใบทั้งใบใหญ่และใบเล็ก
ใช่แล้วค่ะ Juli จะมาทำ intensive natural dye private workshops กับเรา โดยพักอยู่กับเรา 4 คืน 5 วัน เพื่อเรียนรู้และหาประสบการณ์ตรงเพิ่มเติมในงานผ้าย้อมสีธรรมชาติที่เธอสนใจ และเริ่มทำมาได้ประมาณ 1 ปี ทั้งด้วยการไปทำ workshops จากหลายที่และเรียนรู้ด้วยตนเอง
4 คืน 5 วันของ workshops ในครั้งนี้ เราออกแบบเนื้อหาการเรียนรู้ให้ครอบคลุมตามที่ Juli ต้องการ โดยเริ่มจากแม่สีน้ำเงินคือสีคราม ใน concept "from seed to dye" เราเริ่มตั้งแต่การเก็บใบห้อม (assam indigo) ซึ่งเป็นพืชให้สีครามท้องถิ่นของภาคเหนือ มาสกัดสีครามในรูปแบบของเนื้อครามเปียก (indigo paste) จากนั้นเราก่อหม้อคราม (making indigo dye vat) ด้วยสูตรของเรา ที่ใช้มะขามเปรี้ยวเป็น reducing agent หรือเรียกว่าเป็น tamarind vat ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณของไทย
Juli บอกว่าที่ประเทศโคลัมเบียก็มีต้นมะขาม ดังนั้นเธอจึงดีมากที่ Juli จะสามารถใช้สูตรเดียวกันนี้ได้ที่ประเทศของเธอ
หลังจากนั้น Juli ก็ย้อมผ้าและเสื้อผ้าสีขาวด้วยครามธรรมชาติที่เธอก่อหม้อเอง
ได้สีน้ำเงินที่ดูสว่างและสวยสดใสมาก ในจำนวนผ้าผืนและเสื้อผ้าสีขาวที่เธอเตรียมมาประมาณ 20 ชิ้น เธอได้ใช้ทั้งเทคนิคการทำลวดลายผ้า แบบ Shibori และ Tataki-zome
Juli ตั้งเป้าหมายในการทำงานในแต่ละวันอย่างดี เธอทำชิ้นงานของเธออย่างสร้างสรรค์และเธอรู้ดีว่าเธอชอบอะไรในสไตล์แบบไหน
ฉันประทับใจในการใช้เทคนิค Tataki -zome ที่ Juli ทำ Mandala จากใบห้อมสด (fresh assam indigo leaves) เธอมีความชำนาญในเทคนิคนี้ ทำให้ indigo Mandala ของเธอมีเสน่ห์ สวยงาม สมดุลย์ ทั้งสีครามจากใบห้อมสด ขนาดเล็กและใหญ่ของใบห้อมที่ถูกจัดวางอย่างสร้างสรรค์และมีจังหวะหนักและเบาอย่างสมดุลย์ ทำให้เกิดเป็นงานศิลปะ indigo Mandala ที่ดูแล้วเกิดความสุขสงบภายในใจอย่างน่าประทับใจ
หลังจาก focus กับสีครามแล้ว เราก็สกัดสีชมพูจากครั่ง (Lac) และสกัดสีเหลืองจากใบยูคาลิปตัส และขมิ้น สีชมพูและสีเหลืองจะเป็นการย้อมร้อน (hot dye)
เมื่อเรามี 3 แม่สีครบ คือ น้ำเงิน ชมพู และเหลือง Juli ก็สามารถสร้างสีอื่นด้วยการย้อมทับได้
Juli มีทักษะในการ paint ด้วย เธอจึงใช้เนื้อคราม (indigo paste) เพ้นท์บนกระดาษ ซึ่งให้โทนสีน้ำเงินบนสีขาวของกระดาษได้นุ่มนวล มีเสน่ห์และสวยงาม
ตลอดเกือบ 5 วันที่ Juli สนุกและ focus กับงานย้อมผ้าของเธอ เธอตั้งใจ กระตือรือล้นมาก มีพลัง และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ วันเวลาดูเหมือนผ่านไปเร็วมาก
Juli ทำงานด้าน eco tourism เธอได้เดินทางไปหลากหลายประเทศ ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาที่เธอได้เริ่มสนใจและศึกษาเรื่องสีธรรมชาติ เพราะเธอรู้สึกถึงความมีเสน่ห์ของสีธรรมชาติ ที่connect โดยตรงกับธรรมชาติรอบๆตัว เธอต้องการเรียนรู้และพัฒนาทักษะในเรื่องอื่นที่เธอสนใจ นอกเหนือจากงานประจำ เธอคิดจะสั่งสมทักษะนี้ไปเรื่อยๆ เพราะเชื่อว่าเธอจะสามารถทำงานนี้ได้อย่างมีความสุข สามรถใช้ประโยชน์จากทักษะนี้ได้ในอนาคต อาจจะเป็นการค่อยๆ เตรียม plan B เพื่อเพิ่มทางเลือกในการใช้ชีวิตในอนาคต โดยเริ่มจากสิ่งที่ตนเองสนใจ และเชื่อในคุณค่าของสิ่งนี้
เกือบ 5 วันที่เราใช้เวลาด้วยกัน แม้จะสั้นๆ แต่เราอยู่ด้วยกัน ทำงานที่ชอบด้วยกันตลอดวัน บางวัน Juli ทำงานย้อมผ้าของเธอถึงกลางคืน 2 ทุ่มครึ่ง อย่างสนุกและมีสมาธิ
ประสบการณ์ร่วมกันในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องการย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติเท่านั้น แต่เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติ และมุมมองการใช้ชีวิตในแง่มุมต่างๆ เป็นการพูดคุยในเรื่องธรรมดาๆแต่สร้างแรงบันดาลใจซึ่งกันและกัน
หลายเดือนที่ผ่านมา ลูกค้าที่มาทำ workshops กับฉันส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงในวัย 30+ จากหลายประเทศทั้งตะวันตกและตะวันออก ฉันรู้สึกว่าหญิงสาววัยนี้ในปัจจุบัน หลายคนตั้งคำถามกับตัวเองในมุมมองของทางเลือกในการใช้ชีวิต หลายคนใช้การท่องเที่ยวในที่ต่างๆ เพื่อพบปะผู้คนและหาประสบการณ์ใหม่ๆ ส่วนหนึ่งอาจจะเพื่ออยากมีอิสระในการออกแบบการใช้ชีวิตของตนเอง เพื่อจะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตในรูปแบบทั่วๆไป ที่ถูกกำหนดจากปัจจัยภายนอกเป็นส่วนใหญ่ โดยบางครั้งทำให้ลืมฟังเสียงเล็กๆจากภายในของตัวเอง การเดินทาง การพบปะผู้คนใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ หาประสบการณ์ใหม่ๆส่วนหนึ่งอาจจะเหมือนการได้ reset ตัวเอง
ทำให้มีโอกาสได้ฟังเสียงจากภายในของตัวเองได้ดังมากขึ้น ฟังชัดเจนมากขึ้นก็เป็นไปได้
ทริปท่องเที่ยวแบบ deep connect กับ ธรรมชาติ local lifestyle & crafts ของ Jeneil สาวงามจาก Chicago ที่เชียงดาว ประเทศไทย
Studio Chiangdao Blue ได้มีโอกาสแชร์เรื่องราวของครามธรรมชาติแบบ “From seed to dye”ให้แก่กลุ่มท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ จาก @hinokitravels เราเริ่มทำความรู้จักตั้งแต่ต้นคราม เมล็ดคราม สกัดสีครามจากใบครามได้อย่างไร จากนั้นเราเริ่มทำความรู้จักกับสีครามธรรมชาติมากขึ้น โดยลองเพ้นท์รูปด้วย indigo paste ที่เราทำเองจากใบครามสด Jeneil เพ้นท์รูปของเธอเสร็จอย่างรวดเร็ว
จากกระดาษสีขาว ขนาด 12cm.x16cm. ด้วยภู่กันเล็กๆ ม้าตัวน้อยน่ารักสี indigo blue ที่ดูสงบเสงี่ยมก็ปรากฏบนกระดาษแผ่นเล็กๆนั้น ในทันทีที่ได้เห็นม้าน้อยตัวนี้ ฉันรู้สึกประทับใจกับพลังของสีน้ำเงินจากธรรมชาติ บวกกับภาพจากจินตนาการของ Jeneil แล้วรู้สึกว่า ความสุขความสงบในใจเกิดขึ้นได้จากสิ่งเล็กๆ2-3 สิ่งที่มาจับคู่กันอย่างเรียบง่ายและลงตัว เราอาจจะคุ้นเคยกับภาพเขียนจากหมึกจีนที่ได้อารมณ์จาก contrast ของสีขาวของกระดาษและสีดำของหมึก แต่เมื่อเป็นสีน้ำเงินจากครามธรรมชาติที่ตัดกับสีขาว กลับให้ความรู้สึกที่อบอุ่น อ่อนโยน สงบสุขอย่างน่าอัศจรรย์
ขอบคุณ Jeneil ที่สื่อสารแง่มุมใหม่ๆของพลังเยียวยาจากสีครามธรรมชาติให้แก่ฉัน
หลังจากวาดรูปด้วย indigo paste เสร็จ พวกเราก็ขยับมาทำลวดลายบนผืนผ้าด้วยเทคนิคโบราณของญี่ปุ่น คือ Shibori และ Ita-Jime (clamping) ในระหว่างนั้น Jeneil ถามว่าเธออยาก upcycle กางเกงสีขาวของเธอด้วยสีคราม จะได้ไหม ฉันตอบโดยทันทีว่า “ยินดีอย่างยิ่ง“ เพราะ Chiangdao Blue ก็สนับสนุนแนวคิดนี้อยู่แล้ว และตัวฉันเองก็ upcycle เสื้อผ้าเก่าด้วยการย้อมใหม่ด้วยสีธรรมชาติ เป็นปกติอยู่แล้ว Jeneil ผสมผสาน 2 เทคนิค เพื่อสร้างลวดลายเท่ห์ๆ ในโทนสี white & blue และมัน unique มาก เพราะคงจะไม่มีตัวที่ 2 ที่จะเหมือนกันจริงๆ
การท่องเที่ยวที่สร้างสรรค์และ healing แบบนี้ น่าจะเป็นแนวทางที่ทั้งสนุก ได้สัมผัสกับธรรมชาติรอบตัวอย่างจริงใจและผ่อนคลาย และยังได้มีโอกาสแสดงความเป็นตัวเองอย่างสร้างสรรค์ผ่านงาน crafts และบางครั้งเราอาจจะได้ค้นพบมุมมองใหม่ ได้กลับมาทักทายกับศักยภาพดั้งเดิมที่ซ่อนอยู่ในตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ ก็เป็นได้
ขอบคุณ Jeneil และหวังว่าจะได้มีโอกาสได้แชร์ประสบการณ์ร่วมกัน และมีโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น ถ้ามีโอกาสได้เจอกันอีกที่เชียงดาว
Embarking on a Personal Transformation Journey Through Passion-Driven Crafting
Last November, Studio Chiangdao Blue had the pleasure of sharing the art of natural fabric dyeing with Dea, a charming designer from the small, yet profoundly beautiful country of Georgia, a dream destination for many.
Dea, with her designer's eye, gravitates towards a "back to origin" style, embodying warmth and embrace through earth tones. Given her inclination towards warm, rather than cool colors, I introduced her to warm-toned dyes like the orange-brown from acacia catechu’s bark and the grayish-brown from ebony berries. These colors, derived from plants native to Thailand, suited her natural charm and fitted perfectly with the warm palette she adored.
During a brief lunch conversation, Dea expressed her enjoyment of choosing from a variety of delicious foods at affordable prices. She appreciated the rich yet simple life in Chiang Mai and expressed a desire to stay longer. It was a memorable image of Dea that stayed with me for those few hours.
Three months later, Dea messaged me briefly, "After traveling to various places over the past few months, I now feel the urge to work on my beloved fabric projects again."
Dea returned to Chiangdao Blue Studio to dye fabric in her style for the clothes she envisioned. Besides the colors from acacia catechu’s bark and ebony berries, she also experimented with light yellow from eucalyptus leaves, layering it with natural indigo to create a unique warm-toned shade. She fell in love with the color from ebony berries, achieving a natural black by layering two to three different dyes, with black which is one of her favorite colors.
My encounter with Dea at Chiangdao wasn't just about natural dyeing. I believe it was a slow, quiet conversation she had with her inner self, opening up opportunities for Dea's true essence to shine through as much as she desired.
I'm delighted and proud of the new steps and internal growth of this talented designer.
****************************************************************************
การเดินทางเพื่อการเปลี่ยนแปลงตัวเองผ่านการลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองมี passion
กลางเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว studio Chiangdao Blue ได้มีโอกาสได้แชร์เรื่องราวของการย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติกับ “Dea”สาวสวยจากจอร์เจีย ประเทศเล็กๆ ที่หลายๆคนอยากไปท่องเที่ยว
Dea เป็น designer เธอมีสไตล์ในแบบ back to origin ในโทนสี earth tone ที่อบอุ่นและโอบอุ้ม
สีที่เธอสนใจจึง เป็นสีที่ไม่ใช่โทนเย็นอย่างสีคราม ฉันจึงแนะนำสี warm tone. อย่างสีน้ำตาลอมส้มจากเปลือกของต้นสีเสียด (acacia catechu’s bark) และสีโทนน้ำตาลเทาจากลูกมะเกลือ (ebony berry) ซึ่งทั้งสองชนิดเป็นพืชให้สีธรรมชาติดั้งเดิมของประเทศไทย เราใช้เวลาย้อมผ้าด้วยกันเพียงครึ่งวัน เธอมีความเป็นธรรมชาติที่มีสเน่ห์เฉพาะตัว ที่เหมาะกับโทนสีอบอุ่น
ระหว่างอาหารกลางวัน เราพูดคุยกันนิดหน่อย เธอสนุกกับการที่ได้เลือกกินอาหารอร่อยๆหลากหลายอย่างในราคาที่ไม่แพง เธอรู้สึกชอบการใช้ชีวิตที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่อุดมสมบูรณ์และเรียบง่าย
เธอรู้สึกอยากใช้ชีวิตที่นี่นานๆ นี่เป็นภาพที่ฉันจำ Dea ได้ในเวลา 2-3 ชั่วโมง
3 เดือนต่อมา Dea ส่งข้อความมาบอกฉันสั้นๆ ว่า “ฉันได้เดินทางท่องเที่ยวไปหลากหลายสถานที่ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองอยากทำงานเสื้อผ้่าที่ชอบอีกครั้ง”
Dea กลับมาที่เชียงดาวกลับมาย้อมผ้าที่ studio Chiangdao Blue ย้อมผ้าในแบบของเธอ สำหรับทำเสื้อผ้าที่ตามที่เธอคิดไว้
การกลับมาย้อมผ้าเพื่อทำเสื้อผ้าของตัวเองในครั้งนี้ นอกจากสีย้อมจากเปลือกของต้นสีเสียด และลูกมะเกลือแล้ว เธอได้ย้อมสีเหลืองอ่อนจากใบยูคาลิปตัส และเพิ่มเทคนิคการย้อมทับสีด้วยสีครามธรรมชาติเพื่อสร้างเฉดสีโทนอบอุ่นที่แปลกแตกต่างออกไป ในครั้งนี้เธอตกหลุมรักสีย้อมจากลูกมะเกลือ และเธอได้สีดำธรรมชาติจากการย้อมทับด้วยสีธรรมชาติ 2-3 สีย้อมทับกัน และสีดำก็เป็นสีโปรดสีหนึ่งของเธอ
ฉันรู้สึกว่าประสบการณ์กับสีธรรมชาติของท้องถิ่นที่เชียงดาวในครั้งนี้ของ Dea ไม่ใช่แค่การย้อมผ้าเท่านั้น ฉันเชื่อว่าเธอได้มีโอกาสได้พูดคุยกับตัวตนข้างในของเธออย่างช้าๆ และเงียบๆ เปิดโอกาสให้ตัวตนจริงๆ ของ Dea ได้มีโอกาสได้แสดงออกมากขึ้นเท่าที่เธอต้องการ
ฉันดีใจและภูมิใจกับก้าวใหม่ๆและการเติบโตภายในของ designer สาวสวยคนนี้
A Blue Journey with Mr. Paul Sullivan: New Perspectives on Travel, Skills, and Local Crafts.
In mid-February, Studio Chiangdao Blue had the privilege of sharing the experience of natural indigo dyeing with Paul Sullivan, an artisan from the #MississippiSchoolofFolkArts.
Paul has a deep interest in local crafts. During the hours we spent dyeing together, I could sense Mr. Paul's focus on creativity and the joy and peace he found during the process. He combined two Japanese techniques, Shibori and Tatakizome (pounding), to create patterns on a large piece of fabric measuring 120 cm x 190 cm, adorned with delicate leaf patterns using the native strobilanthes cusia (indigo plant).
Paul chose fresh leaves directly from the indigo plant, gently hammering them to imprint the leaves' patterns and the indigo color from the fresh leaves onto the fabric. The result was a piece of work with a unique identity, distinguished by the deep blue shade that native indigo leaves yield, a shade more intense than other varieties. As we dyed, we also had the opportunity to talk, and I learned about Paul's weaving experiences in Laos. His travels for further craft experiences in countries like Thailand and Laos enrich his teaching of art and craftsmanship to children at the Mississippi School of Folk Arts.
I find this kind of travel, acquiring both skills and content, incredibly fascinating and highly inspirational. I, too, am eager for such an opportunity, particularly to learn more about Japanese indigo dyeing in Tokushima locating in the southern island of Shikoku, Japan, known for its long history of indigo cultivation and dyeing.
Thank you, Paul Sullivan, for providing inspiration and an intriguing perspective on so creative travel this time.
*****************************************************************************
เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา studio Chiangdao Blue ได้มีโอกาสแชร์ประสบการณ์การย้อมครามธรรมชาติกับ Mr.Paul Sullivan ผู้เป็น artisan ที่ #MississippiSchoolofFolkArts
Mr.Paul เป็นผู้ที่สนใจในงาน local crafts มาก หลายชั่วโมงที่เราย้อมครามด้วยกัน ฉันรู้สึกได้ว่า Mr.Paul มีสมาธิกับการคิดสร้างสรรค์งาน และทำงานด้วยความสุข ความสงบในจิตใจ (mindfulness) Mr.Paul ผสมผสาน 2 เทคนิคของญี่ปุ่นคือ Shibori และ Tatakizome (pounding) ในการสร้างลวดลายบนผ้าผืนใหญ่ขนาด 120 cm.x 190 cm. (ในรูปที่เป็นผ้าย้อมครามกับลวดลายใบไม้เล็กๆ)
Mr.Paul เลือกใบครามพื้นเมือง (strobilanthes cusia) เด็ดใบสดจากต้นคราม แลพใช้ค้อนไม้ค่อยๆ ทุบใบครามสร้างลวดลายของใบครามและสีครามจากใบสด ผลงานผ้าที่ได้จึงมีความเป็นเอกลักษณ์ที่พิเศษไม่เหมือนใคร ใบครามพื้นเมืองนี้ให้สีครามที่เข้มมากกว่าใบครามพันธุ์อื่นๆ ในขณะที่เราย้อมครามก็ได้มีโอกาสพูดคุยกัน จึงได้รู้ว่า Mr.Paul ได้ไปทอผ้าที่ประเทศลาวด้วย การมาท่องเที่ยวเพื่อหาประสบการณ์เกี่ยวกับงาน crafts เพิ่มเติมในประเทศต่างๆ เช่น ประเทศไทยและประเทศลาว ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์กับการสอนศิลปะและหัตถกรรมให้แก่เด็กๆที่โรงเรียน Mississippi School of Folk Arts ได้ด้วย
ฉันคิดว่าการท่องเที่ยวต่างประเทศแบบได้ทั้งทักษะ (skills) และ content แบบนี้น่าสนใจและสามารถสร้างแรงบันดาลใจได้ดีมาก ฉันเองก็อยากหาโอกาสท่องเที่ยวแบบนี้เหมือนกัน ฉันอยากไปเรียนรู้เรื่อง การย้อมครามของญี่ปุ่น ที่ Tokushima ที่อยู่ในเกาะ shikoku ภาคใต้ของญี่ปุ่น ที่มีชื่อเสียงเรื่องการปลูกครามและย้อมครามมาตั้งแต่โบราณ
ขอบคุณ Paul Sullivan ที่มาช่วยสร้างแรงบันดาลใจและให้มุมมองที่น่าสนใจในการท่องเที่ยวต่างประเทศ ให้แก่ฉันในครั้งนี้
The Indigo Dye Pot of Studio Chiangdao Blue
At Studio Chiangdao Blue, we extract indigo paste from fresh indigo leaves, a process that yields a solid blue pigment which is insoluble in water. To dye fabrics, this blue pigment must be transformed into a water-soluble yellow form through a "reduction" reaction, a process known as making an indigo dye pot. When fabric or cellulose fibers are dipped into this yellow dye bath and then exposed to air, the yellow color is "oxidized" back into blue.
Indigo dyeing is a cold dye process; it doesn't require heat to bond the color to the fabric fibers. Repeated dyeing deepens the color intensity. Cellulose fibers like cotton, linen, hemp, and rayon are more receptive to indigo dyeing than protein fibers like silk or wool.
Our indigo dye pot at “Studio Chiangdao Blue” utilizes three natural ingredients:
1) Our homegrown and extracted indigo paste.
2) Alkaline water from limestone powder, to achieve the desired pH level.
3) Tamarind water, used as a "reducing agent."
We mix these three ingredients at an appropriate temperature to initiate the "reduction" reaction, turning the solid, water-insoluble blue indigo into a water-soluble yellow form. This method of creating a dye pot is known as a "tamarind vat."
The water we use for dyeing is well water, free from the chlorine and chemicals found in tap water. Instead of using chemicals to "fix" the natural dye, we repeatedly rinse the dyed fabrics to remove any excess color. This thorough washing ensures that the final indigo-dyed fabric is safe, comfortable, and reassuring to wear.
**********************************************************************************
หม้อครามของ studio Chiangdao Blue
ครามเปียก (indigo paste) ที่สกัดจากใบครามนั้น มีคุณสมบัติคือมีสีน้ำเงิน เป็นของแข็งและไม่สามารถละลายน้ำได้ จึงไม่สามารถย้อมผ้าได้ จำเป็นต้องเปลี่ยนคุณสมบัติของครามสีน้ำเงิน ให้เป็นสีเหลืองที่เป็นของแข็งแต่สามารถละลายน้ำได้ โดยปฎิกริยา reduction เรียกว่าการก่อหม้อคราม (making indigo dye pot) น้ำครามสีน้ำเงินเมื่อเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้ว จึงสามารถนำผ้าหรือเส้นใยจากพืช ย้อมจากสีขาวให้เป็นสีน้ำเงินได้ หลักการการย้อมผ้าให้เป็นสีน้ำเงินคือ เมื่อจุ่มผ้าฝ้ายหรือเส้นใยฝ้ายลงในน้ำย้อมที่เป็นสีเหลือง เมื่อเอาขึ้นจากหม้อคราม ให้ผ้าหรือเส้นใยสัมผัสกับอ๊อกซิเจนในอากาศ สีเหลืองจะถูก oxidise ให้เปลี่ยนกลับเป็นสีน้ำเงิน
การย้อมครามเป็นการย้อมเย็น คือขณะย้อมไม่ต้องใช้ความร้อนช่วยผลักสีให้เข้าสู่เส้นใยของผ้า การย้อมซ้ำๆกันหลายๆครั้งจะทำให้สีครามเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ
เส้นใยจากพืช เช่น ฝ้าย ลินิน ใยกัญชง (hemp) และเรยอน จะย้อมครามได้ง่ายกว่าเส้นใยโปรตีนจากสัตว์ เช่นผ้าไหม หรือผ้าขนสัตว์
หม้อคราม (indigo dye pot) ของ studio Chiangdao Blue ใช้วัตถุดิบ 3 ชนิดจากธรรมชาติ คือ
1) เนื้อครามเปียก (indigo paste) ที่ปลูกเองและสกัดสีครามเอง คือ สีน้ำเงิน indigo
2) น้ำด่างจากหินปูน alkaline water from limestone powder เพื่อให้ได้ค่าความเป็นด่าง pH ที่ต้องการ
3) น้ำมะขามเปรี้ยว ใช้เป็น reducing agent
เราผสมวัตถุดิบทั้ง 3 ชนิดเข้าด้วยกันในอุณหภูมิที่เหมาะสม ที่จะเกิดปฎิกริยา reduction เพื่อให้สีน้ำเงินที่เป็นของแข็งที่ไม่สามารถละลายน้ำได้ เปลี่ยนสภาพเป็นสีเหลิองซึ่งเป็นของแข็งที่สามารถละลายน้ำได้ เรียกการก่อหม้อครามแบบนี้ว่า "tamarind vat"
น้ำที่เราใช้ในการย้อมเป็นน้ำบ่อ จึงไม่มีคลอรีนหรือสารเคมีที่น้ำประปามี
เราไม่ใช้สารเคมีในการ fix สีธรรมชาติที่ย้อม แต่เราใช้การล้างน้ำหลายๆ ครั้ง เพื่อไล่สีส่วนเกินออกไป ล้างผ้าจนน้ำใส ผ้าย้อมครามที่ได้จึงน่าใช้ ปลอดภัยและสบายใจที่จะสวมใส่
Indigo Pigment Extraction: Crafting Color from Fresh Leaves at Studio Chiangdao Blue
At Studio Chiangdao Blue, we specialize in extracting indigo pigment from our own indigo plants, creating what is known in Thailand as indigo paste. The process begins by soaking fresh indigo leaves in well water for about 24 hours, a duration well-suited to our local climate. This soaking transforms the clear well water into an emerald blue-green hue. After this, the leaves are removed and repurposed as compost.
The next step is the aeration process. We introduce oxygen to the blue-green water, which causes the indigo molecules to bond with oxygen, turning the liquid into a deep indigo blue. The mixture is then left to settle overnight, allowing the indigo pigment to precipitate into a dense “indigo paste.” During aeration, we add about 2% of the weight of the harvested leaves in lime, which helps the indigo molecules bond more effectively with the lime and settle faster. Additionally, the lime ensures that the indigo paste remains alkaline, prolonging its shelf life.
There are several reasons why “Studio Chiangdao Blue” embraces the “from seed to dye” concept. The most significant is the control it gives us over the raw materials right from the start. We can choose the type of indigo plants we grow, each with its unique advantages. During the extraction process, we determine the optimal soaking time for the leaves in water. Over-fermentation can degrade the quality of the indigo color. We also decide the amount of lime to add during aeration, aiming for a minimum of about 2% by weight of the harvested leaves. Our goal is to achieve the most concentrated color in our indigo paste.
Furthermore, the “from seed to dye” approach has taught us about the natural cycle of indigo, from soil quality and water significance to the impact of seasons and natural disasters on indigo cultivation. It has reinforced our belief in organic farming, free from chemicals, and the importance of solving problems without harming the environment. It's a testament to our self-reliance, our ability to define and maintain the quality of our raw materials and production processes. These factors enable us to work with inner strength, contributing to both sustainable production and environmental conservation.
********************************************************************************
Indigo pigment extraction การสกัดสีครามจากใบครามสด
Studio Chiangdao Blue สกัดสีครามจากต้นครามที่ปลูกเอง โดยสกัดในรูปแบบของครามเปียก (indigo paste) ซึ่งในประเทศไทยจะนิยมทำกันแบบนี้
ขั้นตอนการสกัดสีคราม เริ่มจากแช่ใบครามในน้ำ เราใช้น้ำบ่อ (well water)
แช่นานประมาณ 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นจำนวนชั่วโมงที่เหมาะกับอากาศของเมืองที่เราอยู่
สีจากใบครามจะออกมา น้ำบ่อจากน้ำใสจะกลายเป็นสีฟ้าอมเขียว จากนั้นจึงเอาใบครามออก นำใบครามนี้ไปทำปุ๋ยต่อไป
น้ำสีฟ้าอมเขียวที่ได้ จะเข้าสู่กระบวนการตีอากาศ (aeration) เพื่อให้ออกซิเจนรวมตัวกับสีฟ้าอมเขียวแล้วกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มแบบสีคราม หลังจากนั้นจะพักน้ำนั้นไว้ 1 คืนเพื่อให้สีครามตกตะกอนเป็น indigo paste ในขณะที่เราตีอากาศนั้น เราจะใส่ปูนขาวประมาณ 2% ของน้ำหนักใบครามที่เกี่ยวมา ปูนขาวที่ใส่นี้ เพื่อช่วยให้โมเกุลของสีครามจับกับปูนขาวและตกตะกอนได้ง่ายและเร็วขึ้น นอกจากนั้นปูนขาวยังช่วยให้เนื้อครามเปียก (indigo paste) ที่ได้มีความเป็นด่าง จะได้สามารถเก็บครามเปียกนี้ไว้ใช้ได้นานๆ
มีหลายเหตุผลที่ studio Chiangdao Blue ย้อมผ้าครามด้วย concept “from seed to dye”
เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราปลูกต้นครามเอง และทำครามเปียกได้เอง จะทำให้เราสามารถกำหนดสเปคของวัตถุดิบตั้งแต่ขั้นตอนแรก เราสามารถเลือกชนิดของต้นครามที่จะปลูกได้เอง
เราเลือกที่จะปลูกต้นครามหลายๆชนิด เพราะแต่ละชนิดก็จะมีข้อดีมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป
ส่วนในขั้นตอนการสกัดสีครามจากใบคราม เราสามารถกำหนดจำนวนชั่วโมงที่เหมาะสมในการแช่ใบครามในน้ำได้ การแช่ใบครามในน้ำนานเกินไป (over fermentation) จะทำให้คุณภาพของสีครามแย่ลง นอกจากนั้นเรายังเป็นผู้กำหนดปริมาณของปูนขาวที่จะใส่ในน้ำครามสีฟ้าอมเขียวในขั้นตอน aeration เองได้ โดยเราจะใส่ในปริมาณที่น้อยที่สุด คือประมาณ 2% ของน้ำหนักใบครามที่เก็บเกี่ยว เพราะเราต้องการเนื้อครามที่มีความเข้มข้นของสีครามใน indigo paste ให้มากที่สุด
นอกจากนั้นการย้อมผ้าครามแบบ “from seed to dye” ยังทำให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจ เรื่องราวของครามธรรมชาติตั้งแต่เรื่องของดิน ความสำคัญของน้ำ อิทธิพลของฤดูกาลและภัยธรรมชาติที่มีผลโดยตรงต่อการปลูกคราม ทำให้ได้รู้ว่าการปลูกพืชแบบ organic ไม่ใช้สารเคมีในการปลูกนั้น เราต้องเชื่อมั่นในวิถีแบบเกษตรอินทรีย์ เราต้องมีความพยายามและต้องเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาต่างๆที่ไม่รบกวนหรือทำร้ายสิ่งแวดล้อม และเราเชื่อในหลักการของการที่เราสามารถพึ่งพาตนเองได้ เราสามารถกำหนดและรักษาคุณภาพของวัตถุดิบและกระบวนการผลิตได้ด้วยตนเอง ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เราสามารถทำงานได้อย่างเข้มแข็งจากภายใน และจะเกิดความยั่งยืนทั้งในเรื่องของการผลิตและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย
"From Seed to Dye": The Four Types of Indigo Plants at Studio Chiangdao Blue
At Studio Chiangdao Blue, starting every March, we begin sowing seeds for three types of indigo plants:
1. Indigofera tinctoria (straight-pod indigo)
2. Indigofera suffruticosa (bent-pod indigo)
3. Japanese indigo or Persicaria tinctoria
The fourth type, Strobilanthes cusia or Assam indigo, native to Northern Thailand, is a perennial shrub, so it doesn’t require replanting each year.
Both the straight-pod and bent-pod indigo plants, belonging to the bean family, thrive in sunlight and require minimal water. They are easy to grow and maintain, with few pests or diseases. At Studio Chiangdao Blue and in our village’s fields, we cultivate all our indigo plants organically, without chemical fertilizers, pesticides, or herbicides. We manually weed when necessary, committed to preserving our soil and underground water sources. These two types of indigo are grown over an area of approximately 2 acres or 3000 square meters.
Assam indigo, traditionally found in the mountains, prefers the shade of large trees, cool air, and proximity to streams. To cultivate it at our studio, we replicate its natural habitat with shade and a watering system. Japanese indigo is also sown annually from seeds and flourishes in sunlight.
For all four indigo types, we extract the dye from the leaves to create indigo paste. The process involves soaking the leaves in water for 24 hours, yielding an emerald green indigo solution. We then aerate the solution to turn the green to blue as the indigo molecules bond with oxygen. Adding lime during aeration helps the indigo molecules precipitate into a paste. This indigo paste is then used for making indigo dye pots for fabric dyeing.
Our "From Seed to Dye" philosophy embodies self-sufficiency and organic farming, with a deep respect for the environment. We prioritize soil and water quality, ensuring sustainable production in terms of resource use, conservation, and control over the quality of raw materials and manufacturing processes.
Being both indigo farmers and dyers allows us to understand the interconnected cycle of production intimately. We are excited to share the fascinating story of natural indigo at Chiangdao with everyone interested.
“From seed to dye” พืชให้สีคราม 4 ชนิดที่ Studio Chiangdao Blue
ตั้งแต่เดือนมีนาคมของทุกปี เราจะเริ่มเพาะเมล็ดของต้นคราม 3 ชนิด คือ
(*) ต้นครามพันธุ์ฝักตรง (Indigofera tinctoria)
(*) ต้นครามพันธุ์ฝักงอ ( Indigofera suffruticosa )
(*) ต้นครามญี่ปุ่น (Japanese indigo or Persicaria tinctoria)
ส่วนต้นครามชนิดที่ 4 คือ ต้นห้อม (Strobilanthes cusia or Assam indigo ) ซึ่งเป็นพืชให้สีครามของภาคเหนือของประเทศไทยนั้น เป็นพืชล้มลุกอายุยืนนานหลายปี จึงไม่ต้องปลูกใหม่ทุกๆปี
ต้นครามพันธุ์ฝักตรงและต้นครามพันธุ์ฝักงอนั้นต่างก็เป็นพืชตระกูลถั่ว ที่ชอบแสงแดดและไม่ต้องการน้ำเยอะ ปลูกง่าย ดูแลไม่ยาก ไม่ค่อยมีโรคพืชและไม่ค่อยมีแมลงมารบกวน
ต้นครามทุกชนิดที่เราปลูกในบริเวณ Studio Chiangdao Blue และที่แปลงปลูกครามที่อยู่ในหมู่บ้านของเรานั้น เราปลูกแบบ organic ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง และไม่ใช้ยาฆ่าหญ้า
ถ้าจำเป็นต้องกำจัดหญ้า เราจะถอนหญ้าด้วยมือคน เราต้องการรักษาดินและรักษาแหล่งน้ำใต้ดินของเรา ครามทั้งสองชนิดนี้เราปลูกในพื้นที่ประมาณ 2 ไร่หรือประมาณ 3000 ตารางเมตร
ส่วนต้นห้อมนั้นเป็นพืชที่ดั้งเดิมอยู่บนภูเขา ชอบขึ้นใต้ร่มของต้นไม้ใหญ่ในป่าและใกล้ๆลำธาร ชอบที่อากาศเย็นๆและไม่ค่อยชอบแสงแดด
เราปลูกต้นห้อมที่ studio ของเราได้แต่ต้องเตรียมสิ่งแวดล้อมในการปลูกที่ใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมดั้งเดิมของต้นห้อม เราต้องทำหลังคากันแดด และต้องทำระบบการรดน้ำให้ต้นห้อม
ส่วนครามญี่ปุ่นนั้นก็ปลูกปีต่อปีด้วยการเพาะเมล็ด ปลูกง่ายและชอบแสงแดด
ครามทั้ง 4 ชนิด เราสกัดสีครามจากใบ โดยทำเป็น indigo paste มีขั้นตอนการสกัดสีคือ แช่ใบครามในน้ำ 24 ชั่วโมง จะได้น้ำครามสีเขียวมรกต จากนั้นเติมอากาศในน้ำคราม เพื่อให้สีเขียวเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเพราะโมเลกุลของสีครามจับกับ oxygen ในอากาศ ในขณะที่เติมอากาศในน้ำคราม เราจะใส่ปูนขาวลงไปด้วย เพื่อให้โมเลกุลของสีครามตกตะกอนเป็น indigo paste ได้ง่ายขึ้น
Indigo paste ที่ได้จะนำไปก่อหม้อคราม (making indigo dye pot) เพื่อย้อมผ้า
“From seed to dye” เป็นแนวความคิดในการผลิตแบบพึ่งพาตนเอง (Self sufficiency) เป็นการปลูกต้นครามอินทรีย์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญต่อคุณภาพของดินและน้ำ และเป็นการผลิตที่คำนึงถึงความยั่งยืน (sustainability) ทั้งในแง่การใช้ทรัพยากร การดูแลรักษาทรัพยากรและความสามารถในการควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบและกระบวนการผลิตอีกด้วย
การที่เราเป็นทั้ง indigo farmer & indigo dyer ทำให้เราเข้าใจความเชื่อมโยงที่สัมพันธ์ทั้งวงจรการผลิต เราจึงอยากแบ่งปันเรื่องราวที่น่าสนใจของครามธรรมชาติที่เชียงดาวให้ทุกคนที่สนใจ
Exploring Authenticity: The Journey of Indigo and Insights
=Creative travelling=
Over the past few months, I've had the wonderful opportunity to converse and exchange stories with tourists from various countries including Europe, America, and Asia. These interactions took place during natural indigo dye workshops at the "Studio Chiangdao Blue" in Chiang Mai, Thailand, a haven for natural dye enthusiasts.
Most tourists are unfamiliar with the process of dyeing fabrics with natural indigo. Therefore, they are excited to learn about the indigo blue color from the "from seed to dye concept." They discover various indigo plants that we cultivate to extract color from their leaves. They learn where natural indigo color comes from and how it's extracted, understanding the science behind natural indigo and the techniques used in creating patterns on fabric. Some bring their old clothes to upcycle during these workshops. Our conversations span a variety of topics, including food, art, culture, the environment, and lifestyle perspectives. Many modern travelers express their desire for authentic experiences, engaging in activities and learning & sharing with local people. They seek more than just fun, beautiful sights, photo opportunities, and delicious food; they want to delve deep into the local lifestyle, curious about how locals live and think, gaining new experiences and perspectives.
In just the past two months, while dyeing indigo in a small rural area far from downtown Chiang Mai, I've had the chance to talk with people from America, England, France, Italy, Canada, Australia, New Zealand, the Netherlands, Austria, Georgia, Luxembourg, China, Japan, Korea, India, Hong Kong, and Singapore. Young travelers are eager to journey for new inspirations, knowledge, and skills, particularly in local wisdom areas like agriculture, crafts, and health and herbal foods. They find that living a self-sufficient, sustainable lifestyle is approachable and feasible in the Thai rural context, especially in the North with its diverse ethnic groups and abundant natural resources. Many tourists come to learn about in-depth permaculture at permaculture farms for extended periods.
Numerous artists come in search of natural colors for their own paintings. In today's world, where virtual reality increasingly plays a significant role in our daily lives, many feel that this way of life may be somewhat unconventional, perhaps even diminishing our humanity. However, there's a growing inclination towards embracing an analog way of life. This shift seems to offer a greater balance, reconnecting us with the more tangible, authentic aspects of human existence.
การท่องเที่ยวในเชิงสร้างสรรค์ (creative travelling)
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ฉันได้มีโกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆกับนักท่องเที่ยวจากหลากหลายประเทศ ทั้งจากยุโรป อเมริกาและเอเซีย ผ่านกิจกรรม natural indigo dye workshops ที่ natural dye studio "Chiangdao Blue" Chiangmai Thailand
นักท่องเที่ยวส่วนมากมักไม่เคยย้อมผ้าด้วยครามธรรมชาติมาก่อน หลายๆคนจึงรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มารู้จักได้มาเรียนรู้เรื่องราวของสี indigo blue ใน "from seed to dye concept" ได้รู้จักต้นครามหลากหลายชนิดที่เราปลูกเพื่อสกัดสีครามจากใบ ได้รู้ว่าสีครามธรรมชาติมาจากไหน สกัดสีอย่างไร ได้รู้เรื่องวิทยาศาสตร์ของครามธรรมชาติ การทำหม้อครามสำหรับย้อมผ้าและเทคนิคการทำลวดลายบนผืนผ้า บางคนก็เอาเสื้อผ้าเก่าของตัวเองมา upcycle ในระหว่างการทำ workshops เราก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันหลากหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร เรื่องศิลปะวัฒนธรรมเรื่องสิ่งแวดล้อม และมุมมองในการใช้ชีวิต นักท่องเที่ยวคนรุ่นใหม่หลายๆคน บอกว่าพวกเขาอยากได้ประสบการณ์ตรง ได้ทำกิจกรรม ได้ learn & share กับผู้คนในท้องถิ่น พวกเขาไม่ได้ต้องการแค่มาสนุกสนาน มาดูสถานที่สวยงาม ถ่ายรูป กินของอร่อยแค่นั้น แต่พวกเขาต้องการลงลึกกับความเป็น local ในหลายๆด้าน อยากรู้ว่าคน local ใช้ชีวิตกันอย่างไร คิดอย่างไร แล้วพวกเขาจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้มุมมองใหม่จาก local อย่างไร
แค่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ฉันย้อมครามอยู่ในชนบทเล็กๆ ที่ห่างไกลจากตัวเมืองเขียงใหม่มาก แต่ไม่น่าเชื่อว่าฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้คนจากทั้งอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เนเธอแลนด์ ออสเตรีย จอร์เจีย ลักซัมเบิร์ก จีน ญี่ปุ่น เกาหลีอินเดีย ฮ่องกง และสิงคโปร์ เราพูดคุยกันหลากหลายเรื่องมาก หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่หลายคน ตั้งใจเดินทางท่องเที่ยวเพื่อหาแรงบันดาลใหม่ๆความรู้และทักษะใหม่ๆ โดยเฉพาะในด้าน local wisdom ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร ด้าน crafts และด้านอาหารในแนวสุขภาพและสมุนไพร พวกเขาบอกว่าการใช้ชีวิตในลักษณะ self sufficiency และในแง่ของความยั่งยืน sustainability ยังเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและทำได้ไม่ยากในสภาพภูมิอากาศและวัฒนธรรมสังคมเกษตรอย่างชนบทของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์และยังมีความอุดมสมบูรณ์ของป้าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ นักท่องเที่ยวหลายคนมาเรียนรู้เรื่อง permaculture ในเชิงลึกที่ permaculture farm ครั้งละหลายเดือนก็มี
Artists หลายๆคนมาตามหาสีจากธรรมชาติเพื่อใช้ในการเพ้นท์งานของตัวเอง ในโลกปัจจุบันที่ โลกเสมือนจริงมีบทบาทในชีวิตของแต่ละคนมากขึ้นเรื่อยๆ และหลายๆคน รู้สึกว่าการใช้ชีวิตแบบนี้มันน่าจะไม่ปกติ แต่เป็นทิศทางการใช้ชีวิตที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ การพยายามพาตัวเองย้อนกลับมาในโลก analog น่าจะช่วยสร้างสมดุลย์ชีวิตได้มากขึ้น
Indigo Dyeing Experience: A Heartfelt Family Crafting Adventure
Today (26 Dec 2023), Studio Chiangdao Blue had the pleasure of welcoming a lovely family from England, including the grandmother, mother, son, and two granddaughters. The grandmother contacted us with the desire for her daughter and grandkids to engage in an indigo dyeing activity together. The studio arranged a private family-only session, creating a warm and authentic atmosphere. Each family member displayed great interest, focus, and mindfulness during the learning process.
It was a wonderful family activity where everyone shared a common focus. Throughout the three-hour activity, it seemed like everyone forgot about their smartphones, deeply immersed in the new things they were learning about nature. They discovered the origins of indigo blue and how to extract the dye from plants. Additionally, they delved into the science of natural indigo dyeing, learning techniques for creating patterns on fabric.
The benefits of this activity were apparent in the enjoyment of the process and the excitement of creating something with their own hands. The value was not just in the beauty of the final products but in the genuine joy of the participants. This new experience might help individuals discover hidden potentials and interests they didn't know they had.
Crafts, being a hands-on and heart-engaging endeavor, often create impressively memorable experiences.
วันนี้ (26 Dec 2023) studio Chiangdao Blue ได้มีโอกาสต้อนรับ lovely family from England มีคุณยาย คุณแม่ ลูกชาย และหลานสาว 2 คน คุณยายเป็นคนติดต่อเรามาว่า อยากให้ลูกสาวและหลานชายหลานสาวได้ทำกิจกรรมย้อมผ้าครามด้วยกัน ทางstudio จัดให้เป็นกิจกรรมแบบ private เฉพาะของครอบครัวนี้เท่านั้น บรรยากาศจึงอบอุ่นและเป็นกันเองมาก สมาชิกทุกคนมีความตั้งใจและมีสมาธิกับการเรียนรู้มาก เป็นกิจกรรมร่วมกันของครอบครัวที่ดีมาก ทุกคนมี focus ในเรื่องเดียวกัน ในระหว่าง 3 ชั่วโมงที่ทำกิจกรรมนี้ ดูเหมือนว่าทุกคน ลืม smart phone ไปเลย
ทุกคนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ได้รู้ว่า indigo blue นั้นมาจากไหน และสกัดสี indigo blue จากพืชได้อย่างไร นอกจากนั้นยังได้เรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ของการย้อมผ้าด้วยครามธรรมชาติ (natural indigo dye) ได้เรียนรู้เทคนิคการสร้างลวดลายบนผ้า และเมื่อเกิดความเข้าใจแนวคิดและพื้นฐานการสร้างลวดลายแล้ว จึงสามารถ create ลวดลายผ้าตามจินตนาการของตัวเองได้
ประโยชน์ที่น่าสนใจของกิจกรรมนี้ คือการ enjoy กับ process การได้มีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ และความตื่นเต้นดีใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ซึ่งจะสวยมากน้อยแค่ไหน ไม่สำคัญเท่าความจริงที่ว่าเป็นผลงานที่ทำด้วยตนเอง
ประสบการณ์ใหม่ๆนี้ บางครั้งอาจช่วยให้เราได้ค้นหาศักยภาพใหม่ๆที่ซ่อนอยู่ ทำให้เรารู้ว่า ตัวเองก็มีความสนใจหรือความชอบใน
เรื่องอื่นๆ ด้วย
งาน crafts เป็นงานทำด้วยมือ สร้างสรรค์ด้วยใจ จึงจะเป็นประสบการณ์ที่สร้างความประทับใจได้ไม่ยากเลย
Exploring for New Experiences, Discoveries, and True Relaxation
The other day, a travel company specializing in destination management services brought two clients from America to embark on a unique learning experience in natural dyeing with indigo at Studio Chiangdao Blue. Both clients exhibited profound interest and dedication to exploring fabric dyeing with natural indigo, marking their inaugural venture into this craft.
After explaining the origins of indigo and the process of extracting dye from indigo leaves and also how to make the indigo dye pot, we then introduced them to straightforward fabric patterning techniques, starting with the fundamentals of "Shibori" (tie-dye) and "Ita-jime" (clamping). With a solid understanding of these techniques, both clients unleashed their creativity to craft unique fabric patterns.
Engaged and focused throughout the approximately three-hour session, one client successfully dyed a bandana (70 cm x 70 cm) and a T-shirt, while the other dyed a bandana and a large scarf (120 cm x 200 cm). We are thrilled to have played a part in deepening their travel experience, allowing them to discover and utilize their crafting abilities.
This hands-on handicraft experience reflects our belief that everyone possesses hidden talents, waiting to be explored given the right opportunity.
การท่องเที่ยวเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อการค้นพบและเพื่อการผ่อนคลายที่แท้จริง
วันก่อนบริษัทท่องเที่ยวที่มีนำเสนอการท่องเที่ยวในรูปแบบ "destination management services" พาลูกค้า 2 คนจากอเมริกา มาเปิดประสบการณ์การเรียนรู้เรื่องการย้อมผ้าด้วยครามธรรมชาติ ที่ studio Chiangdao Blue ลูกค้าทั้งสองคนให้ความสนใจและตั้งใจมากในการย้อมผ้าด้วยครามที่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิต หลังจากอธิบายเรื่องต้นคราม การสกัดสีครามจากใบคราม การทำหม้อย้อมครามและวิธีการย้อมแล้ว เราจึงเริ่มแนะนำเทคนิคการทำลวดลายบนผ้าแบบเรียบง่าย หลังจากทั้งสองคนพอเข้าใจวิธีการทำลวดลายด้วยเทคนิค Shibori (tie-dye) และ Ita-jime (clamping) ทั้งสองก็ใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อทำลวดลายของตัวเอง ทั้งสองคนสนุกและมีสมาธิกับกิจกรรมมาก ในเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง คนหนึ่งสามารถย้อมผ้า bandana ขนาด 70 cm.x70 cm. ได้ 1 ผืนและเสื้อยืด 1 ตัว ส่วนอีกคนหนึ่งก็ย้อมผ้า bandana ได้หนึ่งผืนและผ้าพันคอผืนใหญ่ขนาด 120 cm.x200 cm. ได้หนึ่งผืน
เรารู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวในรูปแบบที่ลงลึกและได้ค้นพบ ได้ใช้ความสามารถในงาน handicrafts ซึ่งเราเชื่อว่าทุกคนมีความสามารถซ่อนอยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่มีโอกาสได้ใช้ความสามารถนั้น
Creative Journey: A 16-Year-Old's Adventure in Natural Dyeing
Today (18 Dec 2023), Studio Chiangdao Blue welcomed a talented 16-year-old French girl with a passion for designing and sewing her own clothes. She shared that her mother taught her to sew from a young age, and her love for learning and self-improvement has driven her to develop her skills independently. For her project at our studio, she expressed the desire to dye local workwear from the northern region of Thailand using natural dyes. She brought a white shirt and pants that she had prepared herself.
After introducing the basics of natural dyeing, including extracting dye from the leaves of the indigofera tinctoria plant, creating an indigo dye pot, and the technique of hand-stitched wood grain patterns inspired by traditional Japanese methods, we discussed and collaborated on the design she envisioned.
I suggested the wood grain pattern, requiring hand stitching, which is a traditional Japanese technique. We enjoyed a co-working atmosphere, and in the end, she successfully dyed her workwear according to her vision. I believe this experience with natural dyeing will further fuel her interest in the craft, providing us with more opportunities to learn together. Despite being only 16, she is fortunate to know her passions and interests so well. Looking forward to future collaborations and learning experiences together.
วันนี้(วันที่18ธค.2566)studio Chiangdao Blue ได้ต้อนรับหญิงสาวชาวฝรั่งเศสวัยเพียง 16 ปี แต่มีความสามารถในการออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยตัวเอง เธอบอกว่าคุณแม่สอนการเย็บผ้าให้เธอตั้งแต่ยังเด็กๆ เธอชอบจึงเรียนรู้และฝึกฝนด้วยตัวเองมาเรื่อยๆ วันนี้เธอมาที่ studio ของเราพร้อมกับ project work ของเธอ เธออยากย้อมเสื้อผ้าแนว local work wear ของภาคเหนือของไทย ด้วยสีครามธรรมชาติ เธอเอาเสื้อสีขาวและกางเกงสีขาวมาเอง หลังจากฉันแนะนำเรื่องต้นคราม การสกัดสีครามจากใบคราม การทำ indigo dye pot และเทคนิคการทำลวดลายบนผ้าและการย้อมคราม เธอจึงออกแบบลวดลายที่อยากได้ และเรามาdiscuss กันว่าควรจะใช้เทคนิคอะไรบ้างในการทำลวดลายตามที่เธอต้องการ
ฉันแนะนำลวดลาย wood grain ซึ่งต้องใช้การเย็บด้วยมือแบบ hand stitch ซึ่งเป็นเทคนิคโบราณของญี่ปุ่น
เราทำงานแบบ co-working กันอย่างสนุกและในบรรยากาศที่เป็นกันเอง สุดท้ายเธอย้อม work wear ได้ตามที่ต้องการ ฉันคิดว่าประสบการณ์ในการย้อมผ้าด้วยครามธรรมชาติของเธอในครั้งนี้ น่าจะทำให้เธอสนใจการย้อมสีธรรมชาติ และทำให้เราได้มีโอกาสมาเรียนรู้ด้วยกันอีก เธออายุ 16 ปีแต่เธอโชคดีมากที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรและอยากทำอะไร หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก
Exploring Chiang Dao: Embracing Local Lifestyles
Yesterday, I had a conversation with Lizz, who comes from Vienna, Austria. This is her first time visiting Thailand, and she chose to explore Chiang Dao. Her decision was influenced by a desire to avoid typical tourist destinations and hotels that are similar to one another. She felt those places lacked interest. Instead, Lizz wanted an experience with the local lifestyle, spending time with the locals, engaging in conversations, and learning about their unique perspectives and ways of living independently. This type of travel offers new and refreshing experiences.
She chose Chiang Dao because it provides a local atmosphere where people from different countries spend time together, fostering opportunities for conversations and cultural exchanges. Lizz believes that working independently opens up possibilities for individuals to fully utilize their potential, encouraging creativity and enjoyment. We hope she has a delightful and joyful six weeks in Thailand this time around.
เมื่อวานนี้ ฉันได้พูดคุยกับ Lizz เธอมาจากเวียนนา ประเทศออสเตรีย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ Lizz มาเที่ยวเมืองไทย เธอเลือกมาเที่ยวเชียงดาว เพราะไม่อยากไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครๆชอบไปกัน ไปพักโรงแรมคล้ายๆกัน เธอรู้สึกว่าไม่น่าสนใจ เธออยากได้ประสบการณ์แบบ local lifestyle ได้ใช้เวลาแบบคนท้องถิ่น ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนที่มีแนวคิดและการใช้ชีวิตที่อิสระในแบบของตัวเอง การท่องเที่ยวแบบนี้ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ
เธอเลือกเชียงดาว เพราะที่นี่มีความเป็น local ที่คนต่างชาติมาใช้เวลา และสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ เธอคิดว่าการทำงานอิสระ เปิดโอกาสให้คนได้ใช้ศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ ได้ใช้ creativity และสนุกด้วย
เราขอให้เธอสนุกและมีความสุขกับช่วงเวลา 6 สัปดาห์ในเมืองไทยครั้งนี้
"Vibrant Exchanges: A Heritage of Natural Dyeing Explored"
Yesterday, friends from India visited our studio to exchange knowledge about natural dyeing. All three of them are experts in natural dyeing and hand weaving, running a family-owned factory for over six generations, with a history spanning more than 200 years. They inspected the quality of our dyeing pots and were impressed with the color and dyeing process. Hearing their positive feedback truly delighted and encouraged us.
เมื่อวานมีเพื่อนจากอินเดีย แวะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการย้อมคราม ที่สตูของเรา ทั้ง 3 คนเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องย้อมสีธรรมชาติและผ้าทอมือ มีบริษัทมีโรงงานของตัวเอง ทำมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย เช่นโรงงานย้อมผ้าสีธรรมชาติ ทำมา 6 ชั่วคนแล้วน่าจะเกิน 200 ปีขึ้น
พวกเขามาดู มาช่วยเช็คคุณภาพหม้อครามคุณภาพสีครามของเรา เขาชมว่าสีครามและกระบวนการย้อมของเราดีมาก ได้ยินอย่างนี้ก็ชื่นใจ